แน่นอนว่าธุรกิจในปัจจุบันเริ่มมีช่องทางการขายสินค้าและบริการมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในช่องทางที่ได้รับความนิยมคือ เว็บไซต์ นั่นเอง เว็บไซต์ก็เปรียบเสมือนบ้านที่ต้องมีการดูแลและปรับปรุงอยู่เสมอ ๆ ต้องมีการอัปเดตเว็บไซต์ หรือพัฒนาโปรแกรม ดังนั้นเมื่อมีเว็บไซต์แล้ว ก็จำเป็นจะต้องดูแลเพื่อให้เว็บไซต์ยังคงใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ลองมาเช็คกันว่าถึงเวลาที่คุณต้องเปลี่ยนเว็บไซต์ หรือ Redesign เว็บไซต์แล้วหรือยัง
5 สัญญาณ ที่บอกว่าคุณควรเปลี่ยนเว็บไซต์
จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเว็บไซต์ยังใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมือนเดิมอยู่ วันนี้ WebFaster.online จะพาคุณไปดู 5 สัญญาณ ที่บอกว่าถึงเวลาที่คุณต้องแปลงโฉมหรือเปลี่ยนเว็บไซต์ใหม่ได้แล้วหรือยัง? ไปดูกันเลย
1. เว็บไซต์ ไม่ รองรับการใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ
ทุกวันนี้คนไม่ได้ใช้เพียงคอมพิวเตอร์ในการเข้าสู่เว็บไซต์ต่าง ๆ แต่ใช้ทั้งโทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เพราะสะดวกและง่ายต่อการใช้งานมากกว่า เพราะฉะนั้นเพื่อให้ตอบโจทย์ลักษณะการใช้งานของผู้คนในปัจจุบัน เว็บไซต์จึงควรสามารถรองรับการทำงานได้กับทุกหน้าจอการแสดงผล (Responsive Website)
2. ข้อมูลบนเว็บไซต์ ไม่มี การอัปเดต เป็นเวลานาน
หน้าเว็บควรมีการอัปเดตข้อมูลสินค้าหรือบริการแบบเรียลไทม์ เพื่อทำการซื้อขายได้ทันทีแบบเรียลไทม์ หากมีบทความหรือคอนเทนต์ที่ให้ความรู้ ควรอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ และทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเจ้าของแบรนด์ใส่ใจดูแลเว็บไซต์อยู่เสมอ และที่สำคัญการทำ SEO หรือคอนเทนต์บนเว็บไซต์ยังช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ปรากฎอยู่บนทำเลทองในหน้าการค้นหาของ Google อีกด้วย และถ้ายิ่งขยันเพิ่มข้อมูลอยู่สม่ำเสมอแบบนี้ โอกาสที่จะขยับขึ้นมาอยู่บนหน้า 1 ของ Google ก็ไม่ยากเกินเอื้อมเลย
3. เว็บไซต์ ไม่ รองรับการติดตั้ง Analytic Tool สำหรับใช้วิเคราะห์ข้อมูล
เว็บไซต์ของคุณควรจะรองรับการติดตั้ง Analytic Tool ด้วย เนื่องจาก Analytic Tool คือ เครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์และเก็บข้อมูลสถิติของเว็บไซต์ เพื่อให้ทราบว่า เว็บไซต์ของคุณมีใครเข้ามาเยี่ยมชมบ้าง เข้ามาจากช่องทางไหน ใช้ระยะเวลาเฉลี่ยในการเข้าชมเท่าไหร่ ข้อมูลส่วนไหนที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด ซึ่งเครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณทราบถึงพฤติกรรมของลูกค้าหรือลูกค้าเป้าหมาย เพื่อที่จะสามารถนำมาปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
4. เว็บไซต์ ไม่ รองรับโครงสร้างการทำ SEO
SEO (Search Engine Optimization) คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) เป้าหมายของการทำ SEO Website คือ ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับการค้นหาในลำดับต้น ๆ ของ Google ซึ่ง Google จะตรวจจับจากคำค้นหรือ keywords ที่ปรากฏในหน้าเว็บไซต์ หากคุณลองสำรวจแล้วพบว่า เว็บไซต์ที่มีอยู่ในปัจจุบันไม่รองรับโครงสร้างการทำ SEO ย่อมเป็นหนึ่งในเหตุผลว่า ทำไมเว็บไซต์ของคุณถึงไม่ติดอันดับการค้นหาใน Google ส่งผลให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้น้อยลง ทั้งนี้เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับคู่แข่งเว็บไซต์จึงควรปรับให้สามารถรองรับการทำ SEO เพื่อเป็นผลทำให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นเจอใน Google และเพิ่มโอกาสการพบเห็นของกลุ่มเป้าหมาย และจำนวนคนเข้าชมเว็บไซต์ที่มากยิ่งขึ้น
5. Page Speed Performance อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เว็บไซต์ติดอันดับ
ความเร็วในการเข้าหน้าเว็บไซต์ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีผลต่อการจัดอันดับของเว็บไซต์ใน Google เพราะหากเว็บไซต์ประมวลผลได้เร็ว ผู้ใช้งานไม่มีปัญหาในการโหลดหน้าเว็บไซต์ แน่นอนว่าก็จะเป็นอีกตัวแปรนึงที่ Google จะจัดอยู่ในอันดับเว็บไซต์ให้อยู่ในลำดับต้น ๆ ของการค้นหา แต่หากเว็บไซต์มีการประมวลผลที่ค่อนข้างช้า หรือโหลดแต่ละหน้าเว็บไซต์ค่อนข้างนาน หรือแย่กว่านั้นคือไม่สามารถเปิดหน้าเว็บไซต์ได้เลย แบบนี้ก็ส่งผลให้ Google พิจารณาลดอันดับลงเรื่อย ๆ ได้เช่นกัน
หากสำรวจเว็บไซต์ของคุณแล้วตรงกับสัญญาณเตือนทั้ง 5 ข้อข้างต้น แสดงว่าคุณควรเปลี่ยนหรืออัปเดตเว็บไซต์ได้แล้ว แต่หากคิดว่าการเปลี่ยนเว็บไซต์เองเป็นเรื่องยุ่งยาก ในปัจจุบันมีบริการรับทำเว็บไซต์สำเร็จรูป ที่จะมีผู้ดูแลและจัดการเว็บไซต์ให้อย่างครบวงจร และหากถามว่าเว็บไซต์สำเร็จรูปเจ้าไหนดี นี่เลย WebFaster.online ให้บริการรับทำเว็บไซต์สำเร็จรูป หรือสนใจซื้อเว็บไซต์เพื่อใช้ลงข้อมูลด้วยตนเองก็เลือกได้ เราจะเปลี่ยนจากเรื่องเว็บไซต์ที่ดูยากให้กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ รับรองว่าเว็บไซต์ของคุณจะเป็นเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแน่นอน
สาระน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง
