ทุกวันนี้โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อคนในสังคมมากยิ่งขึ้น พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ หรือผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่รายย่อย จึงเริ่มหันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อขายสินค้าและบริการมากขึ้นตามไปด้วย แน่นอนว่าการเปลี่ยนช่องทางการขายจากรูปแบบออฟไลน์มาเป็นช่องทางออนไลน์ ยิ่งส่งผลทำให้ร้านค้าสามารถขายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ได้มากขึ้น เพราะถือเป็นการขยายช่องทางการตลาดและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
ซึ่งช่องทางการขายผ่านทางแพลตฟอร์มออนไลน์มีด้วยกันหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะทางเว็บไซต์ เพจเฟสบุ๊ค อินสตราแกรม หรือทวิตเตอร์ เป็นต้น แต่ช่องทางที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน คือ เว็บไซต์ และ เพจเฟสบุ๊ค
สารบัญ
ความแตกต่างระหว่าง เพจเฟสบุ๊ค (Facebook Page) กับ เว็บไซต์ (Website)
ทั้งเพจเฟสบุ๊คและเว็บไซต์ ต่างก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในการใช้ขายสินค้าและบริการ วันนี้ WebFaster.online จะพามาดูความแตกต่างในการใช้งานของทั้ง 2 ช่องทางแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกใช้แพลตฟอร์มในการขายสินค้าที่เหมาะกับคุณ
1. ปัญหาการปรับอัลกอลิทึมของ Facebook Page
อัลกอลิทึม คือ กระบวนการของเพจเฟสบุ๊คที่จะเลือกว่า ต้องการให้โพสต์ใดปรากฏขึ้นบนหน้าฟีดของผู้ใช้ และปรากฏขึ้นเมื่อใด โดยปกติแล้วหน้าฟีดของเพจเฟสบุ๊คจะปรากฏโพสต์ขึ้นตามอัลกอลึทึมของผู้ใช้งาน และอัลกอลิทึมในเพจเฟสบุ๊คจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาตามความสนใจและความเกี่ยวข้องของข้อมูล ทำให้หน้าฟีดเพจเฟสบุ๊คของผู้ใช้งานแต่ละคนนั้นแตกต่างกันออกไปตามความสนใจในขณะนั้น ด้วยเหตุนี้โฆษณาหรือเนื้อหาของโพสต์ต่าง ๆ จะแสดงขึ้นมาบนหน้าฟีดของผู้ใช้งานได้ ก็ต่อเมื่อผู้ใช้งานมีความสนใจหรือมีความเกี่ยวข้องกับเนื้อหานั้น ๆ แต่หากไม่มีความเกี่ยวข้อง จึงมีโอกาสค่อนข้างน้อย ที่จะทำให้ผู้ใช้งานเห็นสินค้าและบริการของคุณ และเพจเฟสบุ๊คเป็นแพลตฟอร์มที่มีการปรับอัลกอลิทึมอยู่ตลอดเวลา หากเมื่อไหร่ที่เพจเฟสบุ๊คของคุณตามไม่ทันกระแส จึงมีโอกาสสูงที่จะโดนปิดกั้นโพสต์หรือที่หลายคนเรียกว่า การปิดกั้นการมองเห็น ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นปัญหาที่ตามมากวนใจ หากเลือกใช้เพจเฟสบุ๊คในการขายสินค้าและบริการ เพราะนั่นหมายถึงคุณจะไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่ต้องการ
2. เว็บไซต์สำเร็จรูปเพิ่มโอกาสในการค้นเจอบนโลกออนไลน์ที่สูงกว่า
แพลตฟอร์มของเว็บไซต์ เมื่อลูกค้าต้องการค้นหาสินค้าหรือบริการผ่าน Google มีโอกาสค่อนข้างสูงที่ลูกค้าจะค้นเจอเว็บไซต์ของคุณบนโลกออนไลน์ เพราะ Google จะขึ้นผลลัพธ์การค้นหาจากคีย์เวิร์ดที่ใช้ ซึ่งเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาตรงกับคีย์เวิร์ดก็จะปรากฏขึ้นในลำดับต้น ๆ ในขณะเดียวกันหากเลือกขายสินค้าหรือบริการผ่านทางช่องทางออนไลน์อื่น ๆ เช่น เพจเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม หรือทวิตเตอร์ โอกาสที่จะค้นเจอเป็นผลลัพธ์ จากการค้นหาคีย์เวิร์ดในลำดับต้น ๆ ของ Google นั้นมีน้อยกว่าแพลตฟอร์มที่เป็นเว็บไซต์
3. ความน่าเชื่อถือของแบรนด์
เว็บไซต์เปรียบเสมือนหน้าร้านที่ลูกค้าจะเข้ามาดูหรือเลือกซื้อสินค้าของแบรนด์สินค้านั้น ๆ หากมีหน้าร้านที่ดีย่อมทำให้ลูกค้าสนใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการของเราได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของเว็บไซต์ สิ่งที่พิเศษคือ สามารถเลือกใส่ข้อมูลของสินค้าและบริการ รวมถึงสามารถตกแต่ง รูปแบบ โทนสี ของเว็บไซต์ได้ตามต้องการ และการมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองยังถือเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อให้กับแบรนด์อีกด้วย เพราะหากเลือกใช้เพจเฟสบุ๊คความน่าเชื่อของเพจอาจวัดได้จากจำนวนผู้คนที่ทำการกดไลค์ คอมเมนต์ หรือกดแชร์ หากบางโพสต์มีจำนวนการกดไลค์หรือกดแชร์น้อย ก็อาจทำให้แบรนด์ของคุณมีความน่าเชื่อถือลดน้อยลงได้ในมุมมองของผู้บริโภค และการสร้างเว็บไซต์ต้องมีการจดทะเบียนกับ Web Hosting เพื่อทำการยืนยันตัวตนก่อนเปิดใช้งาน ซึ่งต่างจากเพจเฟสบุ๊คที่ปลอมแปลงได้ง่าย และสามารถเปิดเพจเฟสบุ๊คได้หลาย ๆ บัญชี ดังนั้นการมีเว็บไซต์จึงถือเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ได้มากกว่า
จะเห็นได้ว่าการเลือกใช้เว็บไซต์นับเป็นวิธีการหนึ่ง ที่เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่พ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ หรือผู้ประกอบการจะเลือกใช้ในการขายสินค้าหรือบริการ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดแล้วยังช่วยเพิ่มยอดขายได้อีกด้วย
ยิ่งหากเลือกใช้บริการทำเว็บไซต์สำเร็จรูปกับ WebFaster.online ของเรา ก็จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคุณมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมแน่นอน เพราะเปรียบเสมือนมีคนมาช่วยดูแลและจัดการหน้าร้านของคุณ ให้เป็นไปตามรูปแบบที่คุณต้องการ และหากต้องการคำแนะนำหรือคำปรึกษาเรื่องการทำเว็บไซต์สำเร็จรูป สามารถปรึกษาทางทีมงาน WebFaster.online ของเราได้เลย
สาระน่ารู้ที่เกี่ยวข้อง
