ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันธุรกิจออนไลน์มีการแข่งขันที่สูงมากขึ้น เห็นได้จากไม่ว่าจะธุรกิจประเภทไหนก็หันมาทำการตลาดออนไลน์กันทั้งนั้น เพราะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกลุ่ม แถมไม่เพียงแค่ระดับประเทศ แต่ได้จากทั่วโลกเลยทีเดียว และได้รับความสนใจมากกว่าการตลาดแบบออฟไลน์อย่างเห็นได้ชัด
สำหรับหลายธุรกิจที่เริ่มทำการตลาดออนไลน์ ล้วนปักธงไปที่การทำการตลาดออนไลน์ผ่านช่องทางที่นิยมมากอย่าง Google เพราะเป็นที่ทราบดีว่า ผู้คนล้วนค้นหาสิ่งที่อยากได้ อยากซื้อผ่าน Google เพราะเป็นช่องทางที่ง่าย สะดวก และมีระบบการค้นหาที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งาน และถือเป็น Search Engine ที่ครองใจคนทั่วโลกได้จนถึงปัจจุบัน
เมื่อจะทำการตลาดผ่านช่องทางนี้ สิ่งที่ควรให้ความสนใจคือ จะทำอย่างไรให้เว็บไซต์ของเราติดหน้าแรกของ Google และติดอันดับต้น ๆ อยู่เสมอ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายเห็นสินค้าและบริการของเราก่อนคู่แข่ง ซึ่งสิ่งที่จะได้ยินตามมาคือ การทำ SEO และ SEM
ในบทความนี้ WebFaster.online จะพาทุกคนไปรู้จักการทำ SEO และ SEM ที่เจ้าของธุรกิจ และนักการตลาดออนไลน์ควรรู้ ว่าทำไม 2 ช่องทางนี้ จึงมีความสำคัญ และควรทำไปพร้อม ๆ กัน บทความนี้มีคำตอบ
SEM คือ Search Engine Marketing หรือการทำการตลาดออนไลน์บน Google โดยการจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณา โดยคิดค่าโฆษณาตามจำนวนการคลิก หรือที่เรียกว่า PPC (Pay Per Click) นั่นหมายความว่า เมื่อเกิดการคลิก 1 ครั้ง นับเป็นค่าใช้จ่าย 1 ครั้ง ซึ่งถ้าหากเห็น แต่ไม่คลิก จะไม่ถูกคิดค่าโฆษณา แต่อย่างใด
ซึ่งหัวใจหลักของการทำ SEM คือ การทำ Google Ads ในรูปแบบของ Google Search ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ติดหน้าแรก เมื่อมีการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดที่ตรงกับสินค้า และบริการของเรา ซึ่งปัจจัยสำคัญในการเลือกคีย์เวิร์ดนั้นก็คือ ต้องเลือกจากคำค้นที่ตรงกับธุรกิจ และมีอัตราการค้นหาที่สูง เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็นและการเข้าถึงจากกลุ่มเป้าหมายนั่นเอง
SEO คือ Search Engine Optimization เป็นการทำการตลาดออนไลน์บน Google แบบที่ไม่ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณา แต่จะเน้นไปที่การปรับเว็บไซต์และเนื้อหาหรือคอนเทนต์ภายในเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ด ซึ่งการทำ SEO นั้นอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยสำหรับการเริ่มทำในระยะแรก แต่เมื่อติดอันดับการค้นหาแล้ว อันดับจะคงอยู่อย่างยั่งยืนกว่าเมื่อเทียบกับการทำ SEM
แม้ SEO และ SEM คือการทำให้เว็บไซต์ติดหน้าแรกและติดอันดับต้น ๆ เพื่อค้นหาเจอง่ายบน Google แต่ทั้ง 2 รูปแบบ ก็ยังคงมีข้อแตกต่างกันอยู่ในหลายส่วน ดังนี้
การแสดงผลระหว่างการทำ SEO และ SEM มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเกิดการค้นหาและพบเว็บไซต์ที่ติดอันดับหน้าแรกของ Google เราจะสามารถแยกได้ทันที โดยการทำ SEM หากสังเกตจะมีเครื่องหมาย “Ad.” อยู่ตรงด้านหน้าลิงก์ของเว็บไซต์หรือที่เรียกว่า Paid Search แต่หากเป็นการทำ SEO จะไม่มีเครื่องหมายอยู่ด้านหน้า จะเป็นการจัดอันดับแบบออร์แกนิกหรือที่เรียกว่า Organic Search ซึ่งการทำ SEO นั้น ทำให้เกิดการเข้าถึงที่มากกว่า เพราะผู้ใช้งานส่วนมากจะนิยมคลิกเว็บไซต์ที่เป็นออร์แกนิกมากกว่าเว็บไซต์ที่เป็น Ads
การทำ SEO นั้นไม่มีค่าใช้จ่ายในการโฆษณาโดยตรงกับ Google แต่การทำ SEM จะมีค่าใช้จ่าย โดยคิดตามจำนวนคลิก PPC (Pay Per Click) ซึ่งราคาจะขึ้นอยู่กับการประมูล Keyword ที่เลือกมา ทำให้เห็นชัดว่าการทำการตลาดออนไลน์แบบ SEO จึงมีต้นทุนการตลาดออนไลน์ที่น้อยกว่าหรืออาจจะไม่มีเลย หากแต่จะมีเพียงต้นทุนทางเวลาที่ต้องตั้งใจวางกลยุทธ์เพื่อทำคอนเทนต์
หากพูดถึงความยั่งยืน การทำ SEO จะตอบโจทย์มากกว่า เพราะเป็นการทำการตลาดออนไลน์ในระยะยาว โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา เพียงแค่ปรับแต่งเนื้อหาให้สอดคล้อง และตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด เมื่อติดอันดับแล้ว อันดับก็จะยังคงอยู่ไม่หายไป ต่างจาก SEM ที่เมื่อเลิกจ่ายค่า PPC (Pay Per Click) อันดับก็จะหายไปทันที แต่หากต้องการเห็นผลอย่างรวดเร็ว พวกเนื้อหาเช่นธุรกิจเปิดใหม่ โปรโมชันใหม่ล่าสุด แน่นอนว่าการทำ SEM จะตอบโจทย์มากกว่า เพราะเมื่อจ่ายเงิน โฆษณาก็จะปรากฏขึ้นหน้าแรกของ Google ในทันทีที่มีคนค้นหาคำค้นที่เราทำโฆษณา
ไม่ว่าจะเป็นการทำ SEO และ SEM ล้วนสร้างผลลัพธ์ที่ดีทั้งสองช่องทาง ขึ้นอยู่กับว่าธุรกิจออนไลน์ของคุณเหมาะกับการทำการตลาดออนไลน์ในช่องทางไหนมากกว่ากันหรือต้องการทำควบคู่กัน เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและตอบโจทย์ความต้องการสูงสุดของธุรกิจ
และไม่ว่าจะช่องทางไหน หนึ่งสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ การมีเว็บไซต์ธุรกิจของตนเองที่สามารถรองรับการทำการตลาดออนไลน์ได้หลากหลายช่องทาง ที่ WebFaster.online เราพร้อมจัดทำเว็บไซต์สำเร็จรูปที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ด้วยทีมงานมืออาชีพ และระบบเว็บไซต์สำเร็จรูปที่สามารถต่อยอดธุรกิจได้ทุกประเภท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ทักเลย!